Messenger

6 โรคที่ต้องระวังเป็นพิเศษ ของเด็กเล็กช่วงเปิดเทอม

July 14 / 2025

 

 

6 โรคต้องระวัง!...ในเด็กเล็กช่วงเปิดเทอม

 

 

 

     เกือบสองสัปดาห์แล้วที่เด็กๆ ไปโรงเรียน การเปิดเทอมที่มาพร้อมกับฤดูฝนแบบนี้!... อาจทำให้เด็กๆ เสี่ยงเจ็บป่วยไม่สบายจากโรคติดต่อต่างๆ ได้ง่ายเนื่องจากภูมิคุ้มกันโรคต่ำ แถมเวลาไปโรงเรียนยังต้องอยู่ใกล้ชิด และทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งถ้ามีใครในห้องป่วย ก็มักจะติดต่อไปยังเพื่อนร่วมห้อง โดยโรคที่พบบ่อยช่วงเปิดเทอม ที่คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง ควรรู้จักเพื่อที่จะได้สังเกต เฝ้าระวังป้องกันให้ดี เพราะแต่ละโรคมีอาการต่างกัน เช่น

 

6 โรคที่เด็กเล็กต้องระวังในช่วงฤดูฝน

1.  โรคโควิด-19

     โควิด-19 เกิดจากเชื้อไวรัสโคโรนา สามารถติดต่อกันได้ผ่านการสัมผัส ละอองเสมหะ ไอ จาม น้ำมูกของผู้ติดเชื้อ จะมีอาการไข้สูง อ่อนเพลีย เจ็บคอ ไอ มีเสมหะ บางคนอาจมีอาการอาเจียน ถ่ายเหลวร่วมด้วย การฉีดวัคซีน หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำสบู่หรือแอลกอฮอล์ สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลาเมื่ออยู่นอกบ้านช่วยป้องกันโรคได้

 

2.  โรคตาแดง

     ตาแดงเป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อไวรัสที่เยื่อบุตา ติดต่อกันได้ง่ายจากการสัมผัสเชื้อโรคโดยตรง เช่น ขี้ตา น้ำตา หรือการใช้ของร่วมกับผู้ที่เป็นตาแดง หากมีอาการตาแดง ควรมาพบแพทย์ และใช้ยาหยอดตาตามที่แพทย์สั่ง ไม่ถูหรือขยี้ตา หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำ ป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ

 

3.  โรคมือ เท้า ปาก

     โรคมือเท้าปากเกิดจากการติดเชื้อไวรัส และติดต่อกันได้จากการสัมผัสสารคัดหลั่ง น้ำมูก น้ำลาย ผื่นหรือตุ่มใส ของผู้ป่วย อาการที่เห็นชัดคือ เด็กจะมีตุ่มแดงอักเสบที่ปาก ลิ้น เหงือก กระพุ้งแก้ม มีตุ่มน้ำใส หรือผื่นนูนสีแดงเล็กๆ ที่มือ และเท้า บางคนอาจมีผื่นที่แขน ขา หัวเข่า ศอก หรือที่ก้น และมักมีไข้ร่วมด้วย วิธีการป้องกันคือให้เด็กล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่ ดูแลทำความสะอาดของที่เด็กใช้อยู่เสมอ ไม่คลุกคลีหรือสัมผัสใกล้ชิดกับเด็กที่ป่วย

 

4.  โรคอุจจาระร่วง

     หากเป็นโรคดังกล่าว ผู้ป่วยจะมีอาการถ่ายเหลวผิดปกติมากว่า 3 ครั้งติดต่อกัน คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และอาจมีไข้ร่วมด้วย ซึ่งเกิดจากการทานอาหาร หรือดื่มน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อน การหยิบจับของเล่นหรือสิ่งของสกปรกเข้าปาก อาการท้องร่วงส่วนมากจะหายเองได้ แต่ต้องระวังภาวะขาดน้ำแนะนำให้จิบน้ำเกลือแร่ ORS

 

 


หากมีอาการและอ่อนเพลียมาก ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

 

 

5.  โรคไข้หวัดใหญ่

     โรคไข้หวัดใหญ่จะอาการมีไข้สูงติดต่อกันหลายวัน หนาวสั่น ไอ จาม น้ำมูกไหล ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย และอาจมีอาการรุนแรงจนทำให้ปอดบวม เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ ติดง่ายผ่านลมหายใจ ไอ จาม ละอองน้ำมูก และเสมหะของผู้ป่วย จากการสัมผัสหรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วยการป้องกันไม่ให้เชื้อไข้หวัดใหญ่แพร่กระจายที่เด็กๆ ทำได้คือการหมั่นล้างมือด้วยสบู่และน้ำ หรือเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ สอนให้เด็กเช็ดน้ำมูก และปิดปากปิดจมูกเวลาไอ จาม รวมทั้งไม่อยู่ใกล้ชิดกับคนที่ป่วย

 

6.  โรคไข้เลือดออก

     ไข้เลือดออกเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเด็งกี ที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค เริ่มแรกจะมีอาการไข้สูง ปวดหัว ปวดเมื่อตามตัว ซึม อ่อนเพลีย ตามมาด้วยการมี ผื่น มีจุดแดงตามผิวหนัง และหากมีอาการอาเจียนหรือถ่ายเป็นเลือด แสดงถึงอันตรายเด็กอาจจะมีภาวะช็อก จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาโดยด่วน ดังนั้นหากลูกหลานมีไข้สูงโดยไม่ทราบสาเหตุก็ควรรีบพาไปพบแพทย์ การป้องกันคือระวังอย่าให้ยุงลายกัด ทำความสะอาดบ้าน และกำจัดแหล่งน้ำขังอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย

 

วิธีป้องกัน

     ผู้ปกครองควรสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับลูกๆ ด้วยการให้เด็กทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่  ปรุงสุก สะอาด ทานผักผลไม้ ดื่มน้ำสะอาด ล้างมือเป็นประจำ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ก็จะช่วยให้เด็กมีสุขภาพแข็งแรง ลดความเสี่ยงอาการเจ็บป่วยได้ ขณะเดียวกันโรงเรียนก็ควรให้ความสำคัญเรื่องความสะอาดตามบริเวณจุดสัมผัสร่วมต่างๆ ด้วยการเช็ดถูทำความสะอาดอยู่เสมอ

 

 

 


สังเกตอาการของลูกหลานอย่างใกล้ชิด หากพบว่ามีอาการผิดปกติ หรือสงสัยว่าอาจป่วยโรคใดโรคหนึ่ง แนะนำให้ไปพบแพทย์ เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องและรับการรักษาโดยเร็วที่สุด

 

 

 

แก้ไข

30/05/2566