Messenger

ไวรัสตับอักเสบอี (Hepatitis E)

November 20 / 2025

ไวรัสตับอักเสบอี

 

 

ไวรัสตับอักเสบอี (Hepatitis E) คืออะไร?

ไวรัสตับอักเสบ มีหลายชนิด ได้แก่ A B C D และ E โดยสามารถแบ่งตามวิธีการติดต่อ ออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่

 

  • ติดจากการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบชนิด A และ E
  • ติดต่อทางเลือดหรือเพศสัมพันธ์ ได้แก่ ไวรัสตับอักเสบชนิด B, C และ D และนอกจากนี้ ไวรัสตับอักเสบ B สามารถติดต่อจากแม่สู่ลูกได้อีกด้วย
 

อาการเป็นอย่างไร? ควรสงสัยเมื่อไหร่ว่าอาจเป็นไวรัสตับอักเสบอี

     ตับอักเสบเฉียบพลันจากไวรัสตับอักเสบมักมีอาการไม่จำเพาะ ซึ่งจำเป็นต้องวินิจฉัยแยกโรคจากภาวะอื่นด้วย กรณี “คุณต้าเหนิง” ซึ่งมีไข้ ร่วมกับปวดท้องรุนแรงและมีค่าเอนไซม์ตับสูง จำเป็นต้องวินิจฉัยแยกโรคจากโรคนิ่วในถุงน้ำดี หรือ นิ่วในท่อน้ำดี นอกจากการตรวจเลือดแล้ว แพทย์จำเป็นต้องตรวจด้วยภาพรังสี เช่น การทำอัลตราซาวนด์ หากอัลตราซาวด์ไม่พบ แต่ยังสงสัย แพทย์อาจพิจารณาตรวจเอกซเรย์ที่มีความละเอียดมากขึ้น เช่น CT หรือ MRI นอกจากนั้น อาจต้องวินิจฉัยแยกโรค จากภาวะติดเชื้ออื่นๆ ที่ ไม่ใช่ไวรัสตับอักเสบโดยตรง ที่อาจทำให้มีไข้และมีเอนไซม์ตับขึ้นสูง

 

อาการของไวรัสตับอักเสบเฉียบพลันที่พบบ่อย

  • มีไข้ อาจเป็นไข้ต่ำๆ จนถึงไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัว
  • อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน หรือเบื่ออาหาร
  • อาจมีอาการปวดบริเวณตับ คือที่บริเวณใต้ชายโครงขวาหรือลิ้นปี่
  • ปัสสาวะมีสีเข้มผิดปกติหรืออุจจาระอาจมีสีซีด
  • ตัวเหลือง ตาเหลือง
 

การป้องกันไวรัสตับอักเสบเฉียบพลัน ทำอย่างไร?

1) ป้องกันไม่ให้ได้รับเชื้อ

ไวรัสตับอักเสบเฉียบพลันชนิดเอและอี ติดต่อทางการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ

ดังนั้นแนวทางป้องกันที่สำคัญคือ

  • รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่
  • กินอาหารที่ “สุกทั่วถึง” โดยเฉพาะเนื้อหมู เครื่องใน
  • หลีกเลี่ยง น้ำดื่ม น้ำแข็ง หรือ อาหาร ที่ไม่แน่ใจเรื่องความสะอาด
  • ล้างมือก่อนรับประทานทุกครั้ง

 

2) ป้องกันโดยการฉีดวัคซีน

     ไวรัสตับอักเสบชนิดเอและบี มีวัคซีนป้องกัน โดยเฉพาะไวรัสตับอักเสบชนิดเอ ซึ่งติดจากการรับประทานอาหารและหลีกเลี่ยงได้ยาก จึงแนะนำให้ฉีดวัคซีนเพื่อป้องกัน

 

การรักษา

     การรักษาไวรัสตับอักเสบเฉียบพลันโดยส่วนใหญ่ ไม่มีการรักษาที่เฉพาะเจาะจง เนื่องจากไม่มียาฆ่าเชื้อโดยตรง การรักษาจึงมุ่งเน้นไปที่การรักษาตามอาการเป็นหลัก และมีความจำเป็นต้องติดตามการทำงานของตับอย่างใกล้ชิด แม้ผู้ป่วยส่วนมากจะหายเองได้ แต่ในส่วนน้อยอาจเกิดภาวะตับวายเฉียบพลัน ซึ่งเป็นภาวะอันตราย และอาจต้องทำการรักษาด้วยการปลูกถ่ายตับ ช่วงที่มีตับอักเสบ แนะนำให้พักผ่อน งดการออกกำลังกาย และดื่มน้ำให้เพียงพอ