อาการปวดระดูทำไมต้องใส่ใจ
พญ.วันวิสาข์ ไชยชนะ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติ-นรีเวช
อาการปวดระดูหรือปวดท้องเวลามีประจำเดือนนั้นเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในสตรีวัยเจริญพันธ์ โดยพบมากถึง 50% ของสตรีที่มีประจำเดือน ซึ่ง 10% ของสตรีเหล่านี้จะมีอาการมากจนต้องหยุดกิจกรรมที่ดำเนินอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น ขาดงานหรือหยุดเรียนและบางส่วนแม้จะยังทำงานได้แต่คุณภาพของงานก็ลดลง และเสี่ยงต่อการเกิดความผิดพลาดหรืออุบัติเหตุของหญิงนั้นได้ ปัญหาเรื่องอาการปวดระดู หากไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดี จะมีผลกระทบต่อสภาพจิตใจเนื่องจากผู้ป่วยมีความกังวลต่ออาการที่เกิดขึ้นและประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลง
อาการปวดระดูแบ่งเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือ
ปวดระดูมีสาเหตุจากอะไร ?
สาเหตุมีได้มากมาย เช่น เนื้องอกมดลูก ช็อคโกแลตซีสต์ หรือเยื่อบุมดลูกผิดที่ การมีพังผืดในช่องท้อง ความพิการแต่กำเนิดของระบบอวัยวะสืบพันธ์ รวมทั้งการอักเสบติดเชื้อเรื้อรังในอุ้งเชิงกราน ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้ให้คำปรึกษาแนะนำและตรวจวินิจฉัย เพื่อให้ทราบสาเหตุที่แท้จริงและให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ
ปวดระดูตรวจวินิจฉัยอย่างไร ?
แพทย์จะทำการซักถามอาการของผู้ป่วยตรวจร่างกายอย่างละเอียด รวมทั้งการตรวจภายในสำหรับผู้ป่วยบางรายนอกจากนี้อาจต้องมีการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม เช่น การตรวจอัลตราซาวน์เพื่อค้นหาพยาธิสภาพในอุ้งเชิงกรานอย่างละเอียด หรือในบางกรณีที่จำเป็น อาจต้องตรวจโดยการส่องกล้อง Laparoscope ตรวจเพื่อหาสาเหตุของการปวดท้องประจำเดือน, ตรวจดูความผิดปกติในอุ้งเชิงกรายนและประโยชน์ของการส่องกล้อง คือ สามารถตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคทางนรีเวชได้
ปวดระดูรักษาอย่างไร ?
การให้ความรู้แก่สตรีในวัยเจริญพันธ์ เกี่ยวกับอาการของการปวดระดู
การรักษาทั่วไป
- การนอนพักผ่อนให้เพียงพอเมื่อมีอาการปวดท้องน้อย
- ใช้กระเป๋าน้ำอุ่นประคบบริเวณท้องน้อย
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- หากมีอาการปวดมากควรปรึกษาแพทย์ เพื่อพิจารณาให้การตรวจรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย
การรักษาเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการปวดระดูชนิดปฐมภูมิ ส่วนใหญ่แล้วมักจะสามารถรักษาได้โดยใช้ยาแก้ปวดที่ออกฤทธิ์ลดสารเคมีที่ทำให้มีการบีบรัดตัวของมดลูกหรือการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ส่วนอาการปวดระดูชนิดทุติยภูมิ แพทย์จะให้การรักษาโดยพิจารณาตามลักษณะและความรุนแรงของรอยโรคที่ตรวจพบขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแต่ละท่าน
อาการปวดระดูหรือปวดท้องเวลามีประจำเดือน หากมีอาการปวดมากควรปรึกษาแพทย์ เพื่อพิจารณาให้การตรวจรักษาที่เหมาะสม
แก้ไข
20/06/2566