เสียงจากผู้รับบริการ

ร.อ.ขจิต หัพนานนท์

 

อดีตผู้ป่วยสมองขาดเลือดชั่วคราว

“ ขณะเดินออกกำลังกายรอบเย็นอยู่ที่บ้านตามปกติ คือหลังจากเดินไปแค่ 3-4 ร้อยเมตรก็รู้สึกว่าเหนื่อยเร็วกว่าที่เคย แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นเพราะอากาศร้อนจึงนั่งพักไปราว ๆ 10 กว่านาทีก็ไม่หายเหนื่อยจึงตัดสินใจเลิกเดินเพื่อจะได้ไม่ฝืนกำลังตัวเอง..

..เมื่อถึงเวลาอาหารทานได้ 2-3 คำก็วางช้อน และมานั่งดูทีวีโดยเอาหัวพิงเก้าอี้เพื่อจะได้เอนตัวแต่ความจริงรู้สึกว่าเหนื่อย สักพักภรรยามาคุยและถามอะไรอีกหลายเรื่องก็ตอบไป ซึ่งภรรยาผมได้สงสัยแล้วว่าเหตุใดถามอย่างกลับตอบอีกอย่าง ส่วนผมเองไม่รู้เลยว่าตอบอะไรไปแต่รู้สึกว่ามึนหัว...ง่วงจนจะหลับแต่พอหลับตาก็เหนื่อย...ภรรยาจึงบอกไปหาหมอดีกว่า ระหว่างที่จะลุกขึ้นยืนก็เกิดอาการปลายนิ้วสั่น มือซ้ายชาไปหมด ปลายนิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง เริ่มชาก็เลยนวด แต่ไม่นานก็ชาไปทั้งแขนขึ้นไปที่ไหล่ จึงเริ่มไหวตัวว่านี่เป็นคลาสสิกเคสของอัมพฤกษ์ ซึ่งผมเคยมีประวัติเส้นเลือดใหญ่ขึ้นสมองอุดตันตรงต้นคอเมื่อปีก่อน ทำให้สงสัยจะเป็นแบบเดิมอีกแล้วโดยอาจจะมีก้อนไขมันหรืออะไรมาอุด...แต่ระหว่างที่นั่งรอรถมารับอยู่ประมาณ 2 นาทีอาการชาก็หายไป พอหายไปปุ๊บก็หายง่วงตาสว่างขึ้นมาทันที…”

 

พญ.อริยา ทิมา แพทย์ผู้ชำนาญการโรคสมองและระบบประสาท รพ.รามคำแหง

 

หลังจากคนไข้เข้าตรวจด้วย “คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า” หรือ MRI Scan แล้วได้ทราบว่า... เส้นเลือดที่เคยตรวจพบมาแล้วได้ตีบไปเพียง 50%...เป็นภาวะ “สมองขาดเลือดชั่วคราว” หรือ TIA จึงปรากฏอาการหลายอย่างขึ้นมาแต่ก็ได้หายไปในเวลาเพียง 5-10 นาที ถือเป็นสัญญาณเตือนของอัมพาตโดยเกิดการตีบที่เส้นเลือดในสมองซีกซ้ายซึ่งเป็นศูนย์ควบคุมเรื่องการสื่อสาร ทำให้คนไข้พูดหรือตอบคำถามไม่ตรงประเด็น อีกทั้งคนไข้เคยมีภาวะเส้นเลือดใหญ่ที่คอตีบอยู่ด้วย  ถ้าตีบเล็กน้อยไม่ว่าจะเป็นที่สมองหรือที่คอ รักษาด้วยการให้ยาต้านเกล็ดเลือดทานพร้อมกับให้น้ำเกลือและปรับลดยาความดันโลหิต ซึ่งในกรณีนี้โชคดีว่าสะเก็ดไขมันไม่ใหญ่มากจึงละลายไปเอง โดยทำให้สมองขาดเลือดแค่ชั่วคราวและหายเองได้  ที่น่าดีใจคือไม่ได้อยู่โดยลำพังขณะเกิดอาการ

โดยสถิติประมาณ 10% ของคนไข้จะมีโอกาสเป็นซ้ำใน 72 ชั่วโมงแรก จึงต้องบอกตัวเองไว้เลยว่า TIA เป็นสัญญาณเตือนอัมพาต เพราะฉะนั้นถ้าเป็นขึ้นมาแล้วถึงจะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว 5-10 นาทีก็แนะนำให้รีบไปโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

 

 

 

คุณฮวด  ตั้งสิทธิกร

ผู้ป่วยแผลเบาหวานที่เท้า

 

" คุณฮวด  ตั้งสิทธิกร ผู้มีวัย 71 ปีได้เล่าให้ฟังว่าเป็นเบาหวานมา 37 ปีแล้ว ส่วนแผลที่เท้าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เองโดยมีบุตรสาวคือ คุณศิริพร ช่วยเป็นภาระในการดูแลทำแผลเองบ้าง พาไปหาหมอทั้งแถวๆ บ้านและที่โรงพยาบาลเป็นประจำ ตอนแรกเป็นแผลแค่นิ้วหัวแม่โป้งเดียวแต่รักษานานเป็นปียังไม่ยอมหาย แถมยังเกิดแผลตามมาอีกเรื่อยๆ จนกระทั่งต้องถูกตัดรวมแล้ว 4 นิ้ว และแผลกำลังเริ่มลามไปนิ้วที่ 5"

 

ญาติสนิทได้เห็นในรายการโทรทัศน์ว่าที่โรงพยาบาลรามคำแหงมีวีธีขยายเส้นเลือดช่วยรักษาแผลให้ผู้ป่วยเบาหวานได้ จึงรีบพาคุณฮวดมาติดต่อรับการรักษาโดยทันที

 

หลังจากคุณหมอสุทัศน์รับตัวคุณฮวดเข้าไปทำการตรวจอย่างละเอียดแล้ว ได้อธิบายให้ทราบว่าต้นเหตุเกิดจากเส้นเลือดที่ขา ซึ่งหมายถึงเส้นเลือดส่วนปลายเกิดการอุดตัน ทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปเลี้ยงถึงปลายเท้า จึงส่งผลให้แผลที่เกิดขึ้นนั้นรักษาไม่หาย และประสาทในบริเวณนั้นจะไม่เกิดการรับรู้ใดๆ ผู้ป่วยจึงไม่รู้สึกเจ็บแผล และได้นำคนไข้เข้ารับการฉีดสีเพื่อดูสภาวะของหลอดเลือดส่วนปลาย และตรวจพบว่าบริเวณที่เกิดการตีบตันอยู่ที่ใต้เข่าลงไป และเส้นเลือด หรือหลอดเลือดของคนไข้เกิดภาวะตีบตันสนิทไปแล้ว 2 เส้นจากที่มีด้วยกัน 3 เส้นและเส้นที่เหลืออยู่ยังเกิดอุดตันเป็นช่วงๆ รวม 2 ตำแหน่ง แต่ละตำแหน่งที่ตันไปแล้วมีความยาวถึง 8 ซม. และ 12 ซม.

 

แพทย์ทำการรักษาโดยการสอดใส่บัลลูนเข้าไปในหลอดเลือดจนถึงตำแหน่งที่ตีบตันและปั๊มอากาศเข้าไปทำให้บัลลูนพองตัวออกรอบด้านซึ่งเป็นผลให้หลอดเลือดที่อุดตันขยายตัวพองขึ้นทันทีทำให้เลือดสามารถไปเลี้ยงยังปลายเท้า ทำให้รอดจากการถูกตัดนิ้วเท้าที่เหลือได้ทัน

 

 

คุณรติรัตน์ เชื้อแก้ว

อดีตผู้ป่วยระบบประสาทคู่ที่ 5 บนใบหน้าอักเสบ

“หลังผ่าตัดเรารู้สึกว่าดีขึ้นเลย หายเป็นปลิดทิ้ง ไม่มีอาการให้เห็นเลย ใช้ชีวิตตามปกติได้สบาย”

 

มีอาการเกี่ยวกับโรคเส้นประสาทบนใบหน้าอักเสบเกี่ยวกับคู่ที่ 5 เป็นมาประมาณ 5 ปี แต่ว่ามาช่วง 3 เดือนหลังอาการเริ่มหนักขึ้น จากริมฝีปากล่างยาวไปจนถึงบริเวณใบหูล่าง เจ็บมาก ตอนแรกจะรู้สึกเหมือนเสียวฟัน เจ็บฟัน ตอนแรกคิดว่าอาจจะฝันผุ หรือว่ามีอาการเกี่ยวกับฟัน แต่ว่าไม่ใช่
 

โดยโรคจะสัมพันธ์กับการใช้ชีวิตประจำวันต่างๆ อย่างเช่น รับประทานอาหาร การพูดคุย  หรือแค่อ้าปาก ดื่มกาแฟ ดื่มน้ำ หรือว่าอาบน้ำเอามือลูบไปที่หน้าก็ไม่สามารถทำได้แล้ว มันเจ็บมาก เจ็บยิ่งกว่าคลอดลูกอีกโรคนี้ ก็เลยตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัด เพราะน้ำหนัก 3 เดือนลดไป 10 กิโลกรัม

 

อยากจะบอกคนที่คิดว่าอาจจะเป็นโรคปลายประสาทคู่ที่ 5 อักเสบ หากมีการสัมผัสที่หน้าหรือว่าลมพัด หรือว่าเอามือลูบที่แก้มแล้วเจ็บ ไม่ต้องรอให้ถึงเคี้ยวข้าวหรือว่าอ้าปากไม่ได้ หรือว่ารอให้ไปถึงถอนฟัน ให้รีบไปพบคุณหมอ 

 

แล้วก็มีโรคหอบหืดเป็นโรคประจำตัว ซึ่งต้องพ่นยาขยายหลอดลมทุกวัน เคยไปปรึกษาคุณหมอที่โรงพยาบาลอื่น ก็ไม่สามารถทำการผ่าตัดได้ จนมาพบคุณหมอเมธี ที่ รพ.รามคำแหง แล้วท่านก็บอกว่าสามารถผ่าได้โดยที่ไม่มีผลข้างเคียง และไม่เป็นอันตราย ก็เลยตัดสินใจผ่าตัดที่ รพ.รามคำแหง