ความดันโลหิตสูงที่ทำให้เป็นโรคหัวใจ

January 18 / 2024

ความดันโลหิตสูงที่ทำให้เป็นโรคหัวใจ

 

 

 

ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง มีโอกาสเสียชีวิตจากหัวใจวายถึง 60 - 75 % เนื่องจากคนส่วนใหญ่มีความดันโลหิตสูงและมักไม่รู้ว่าเป็น เพราะไม่แสดงอาการ เเต่เมื่อเริ่มมีอาการหรือภาวะแทรกซ้อนแล้วจึงจะเริ่มสนใจและรักษานั่นอาจจะทำให้ผลการรักษาไม่ดีเท่าที่ควรซึ่งการควบคุมความดันโลหิตให้ปกติอย่างสม่ำเสมอ จะสามารถลดโอกาสเกิดโรค อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้

 

 

ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง

 

  • อายุ : ส่วนใหญ่เมื่ออายุมากขึ้น ความดันโลหิตจะสูงขึ้น
  • เวลา : ความดันโลหิตจะขึ้นๆ ลงๆ ไม่เท่ากันตลอดทั้งวัน
  • จิตใจและอารมณ์ : มีผลต่อความดันโลหิตได้มากในขณะที่ได้รับความเครียด อาจทำให้ความดันโลหิตสูงกว่าปกติได้ถึง 30 มม.ปรอท
  • เพศ : พบว่าเพศชายจะเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้บ่อยกว่าเพศหญิง
  • พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม : มีประวัติในครอบครัวเป็นความดันโลหิตสูง และสิ่งแวดล้อมที่เคร่งเครียดก็อาจทำให็มีแนวโน้มเป็นโรคความดันโลหิตสูงได้ด้วย
  • สภาพภูมิศาสตร์ การอยู่ในสังคมเมืองจะพบภาวะความดันโลหิตสูงมากกว่าในสังคมชนบท
  • เชื้อชาติ : ชาวนิโกรอเมริกันมีความดันโลหิตสูงมากกว่าชาวอเมริกันผิวขาว
  • เกลือโซเดียม : การรับประทานเกลือในปริมาณมากจะมีโอกาสเกิดโรคความดันโลหิตสูงมากกว่าผู้ที่รับประทานเกลือน้อย

 

 

 

 

อาการของความดันโลหิตสูง

 

ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงอาจจะไม่มีอาการใดๆ เลย หรืออาจจะพบว่ามีอาการปวดศีรษะ มึนงง เวียนศีรษะ และเหนื่อยง่ายผิดปกติ อาจมีอาการแน่นหน้าอกหรือนอนไม่หลับ

 

 

ภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากความดันโลหิตสูง

 

ความดันโลหิตสูงอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ 2 กรณีด้วยกัน คือ

  1. ภาวะแทรกซ้อนจากความดันโลหิตสูงโดยตรง ได้แก่ภาวะหัวใจวายหรือหลอดเลือดในสมองแตก
  2. ภาวะแทรกซ้อนจากหลอดเลือดแดงตีบหรือตัน เช่นกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือเรื้อรัง ทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะอาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ หลอดเลือดสมองตีบเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือหลอดเลือดแดงในไตตีบมากถึงขั้นไตวายเรื้อรังได้
  • โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคที่เกิดขึ้นเมื่อเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจมีการตีบตัน จนเลือดไม่สามารถไหลผ่านไปได้ คนที่เป็นจะมีอาการเจ็บหน้าอก หัวใจวาย หรือมีภาวะหัวใจเต้นผิดปกติ

  • หัวใจขาดเลือด ความดันโลหิตสูงจะส่งผลให้หัวใจทำงานหนักขึ้น เพื่อให้หัวใจปั๊มเลือดไปทุกส่วนของร่างกาย สิ่งที่ตามมาคือหัวใจห้องซ้ายบนจะหนาขึ้นและเริ่มแข็งตัว ซึ่งทำให้ความสามารถของหัวใจห้องซ้ายในการปั๊มเลือดลดลง ซึ่งอาจทำให้หัวใจวาย หัวใจล้มเหลว หรือ หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน

  • หัวใจล้มเหลว ถ้าเป็นความดันโลหิตสูงเป็นเวลานานๆ แรงดันที่ทำกับหัวใจอาจทำให้กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงลงและทำงานโดยไม่มีประสิทธิภาพ ถ้าทิ้งไว้นานๆ หัวใจจะเสื่อมลงจนไม่สามารถทำงานได้

 

 

การตรวจหาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากความดันโลหิตสูง

 

  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (Electrocardiogram)

การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หรือ “EKG” เป็นการตรวจคลื่นไฟฟ้าที่เกิดขึ้นในกล้ามเนื้อหัวใจผ่านทางสื่อนำคลื่นไฟฟ้าขนาดเล็กที่วางไว้ตามจุดต่างๆ ของร่างกาย เพื่อบันทึกกราฟแสดงคลื่นไฟฟ้าหัวใจลงบนกระดาษซึ่งง่ายและสะดวกในการตรวจและไม่เจ็บซึ่งอาจจะพบภาวะหัวใจโตจากความดันโลหิตสูง หรือ อาจพบลักษณะเส้นเลือดหัวใจอุดตันเกิดเป็นภาวะแทรกซ้อนทางความดันโลหิตสูงได้ แต่อาจไม่พบสิ่งผิดปกติ และอาจต้องใช้การทดสอบสมรรถภาพหัวใจด้วยการออกกำลังกายต่อไป

 

 

 

  • การตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiography)

การส่งคลื่นความถี่ลงไปบริเวณหัวใจ เมื่อตกกระทบส่วนต่างๆ ก็จะสะท้อนกลับมายังเครื่องจะทำให้เห็นการเคลื่อนและการบีบตัวของหัวใจปกติหรือไม่ ความเร็วและความดันเลือดในห้องหัวใจเป็นอย่างไร มีภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหนา หัวใจโตจากความดันโลหิตสูงหรือไม่ ตลอดจนการตรวจดูความพิการของหัวใจการทำงานของลิ้นหัวใจและโรคหัวใจอื่นๆ เพื่อช่วยตัดสินใจว่าจะใช้ การรักษาด้วยยาหรือการผ่าตัด การตรวจวิธีนี้สามารถดูได้จากจอแสดงผล และเก็บไว้เป็นรูปภาพได้ เพื่อการตรวจสอบต่อไปซึ่งอาจเรียกว่า “ตรวจเอ็กโคหัวใจ”

 

 

 

  • การตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยการออกกำลังกาย เดินสายพาน (Exercise Stress Test)

    เป็นการตรวจโดยให้ผู้ป่วยออกกำลังกายด้วยการเดินบนสายพานเลื่อน หรือปั่นจักรยานเพื่อทดสอบว่าภายใต้สภาวะที่หัวใจทำงานมากขึ้นมีความต้องการออกซิเจนจากเลือดที่หล่อเลี้ยงมากขึ้นนั้น จะมีปริมาณเลือดมาเลี้ยงเพียงพอหรือไม่ในผู้ป่วยที่หลอดเลือดหัวใจตีบหรือตันอยู่เมื่อทำการทดสอบคลื่นไฟฟ้าหัวใจ จะแสดงภาพของกล้ามเนื้อหัวใจที่ขาดเลือดได้ชัดเจนและบอกระดับความรุนแรงของโรคว่าจะต้องเข้ารับการตรวจเพิ่มเติมด้วยการสวนหัวใจหรือไม่

  • การตรวจความผิดปกติของหลอดเลือดขนาดใหญ่

    เป็นการตรวจโดยใช้เครื่อง ABI (Ankle - Brachail Index) ซึ่งเป็นการวัดความผิดปกติของหลอดเลือดด้วยการวัดแรงดันโลหิตตรงส่วนปลายขา เทียบสัดส่วนกับแรงดันโลหิตที่แขนข้างเดียวกัน ช่วยบ่งชี้ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอัมพฤกษ์ อัมพาตได้

 

 

  • ตรวจหัวใจด้วยเครื่องเอกซ์เรย์คอมพิวเตอร์ 128 – Slice CT Scan

    เพื่อตรวจพยาธิสภาพของหลอดเลือดหัวใจโดยไม่ต้องใส่สายสวนผ่านหลอดเลือดแดง เพื่อใช้ในการวินิจฉัยหลอดเลือดหัวใจ อีกทั้งสามารถตรวจหาปริมาณแคลเซียมหรือหินปูนที่เกาะตามผนังหลอดเลือดหัวใจ และสามารถตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ลักษณะทางกายภาพของหัวใจและเยื่อหุ้มหัวใจ ภาพที่ได้จะถูกประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพ ชัดเจนและแม่นยำ ใช้เวลาตรวจเพียง 15 – 30 นาที ผู้รับการตรวจสามารถกลับบ้านได้ทันทีเมื่อตรวจเสร็จ

 

 

  • Cardiac MRI (Magnetic Resonance Imaging)

    เครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยล่าสุด ที่แพทย์ใช้ในการตรวจและแสดงภาพอวัยวะต่างๆ ได้ใกล้เคียงอวัยวะจริงมากที่สุด เพื่อวินิจฉัยโรค มีความไวและความจำเพาะในการวินิจฉัยโรคโดยส่งผ่านความถี่วิทยุไปยังผู้ป่วยในอุโมงค์สนามแม่เหล็ก ซึ่งจะบอกความสามารถในการบีบตัวของหัวใจโครงสร้างลิ้นหัวใจ และสามารถใช้ดูหลอดเลือดหัวใจว่าอุดตันหรือไม่

 

 

 

ควรควบคุมความดันโลหิตให้ปกติอย่างสม่ำเสมอ จะสามารถลดโอกาสเกิดโรค อัมพฤกษ์ อัมพาต หรือโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดได้