Messenger

คนรุ่นใหม่เสี่ยงเป็นไตมากขึ้นจริงไหม หมอเฉพาะทางโรคไตมีคำตอบ

July 11 / 2025

โรคไต

 

 

     โรคไตเรื้อรังเป็นเหมือน "ภัยเงียบ" ที่ค่อย ๆ ทำลายสุขภาพของคุณ โดยที่คุณอาจไม่รู้ตัว จนกระทั่งอาการรุนแรงถึงขั้นต้องฟอกไต การสูญเสียสุขภาพไตไป อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การใช้ชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่ความสัมพันธ์กับผู้อื่น ปัจจุบันวิถีชีวิตของคนเปลี่ยนแปลงและดูแลตัวเองน้อยลง ทำให้ค่าเฉลี่ยการเกิดโรคไตเกิดกับวัยรุ่นมากขึ้น หากคุณเป็นหนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่กังวลเกี่ยวกับสุขภาพไตหมอเฉพาะทางโรคไต จะพาคุณไปทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้คนรุ่นใหม่เสี่ยงเป็นโรคไตมากขึ้น พร้อมทั้งแนะนำวิธีดูแลสุขภาพไตเบื้องต้น เพื่อให้คุณมีสุขภาพที่ดีและมีอายุยืน

 

เหตุผลที่คนรุ่นใหม่เสี่ยงเป็นโรคไตมากขึ้น

     ชีวิตที่เร่งรีบของคนวัยทำงาน ทำให้หลายคนละเลยดูแลสุขภาพ และกำลังเผชิญกับภัยเงียบอย่าง "โรคไต" ที่ค่อย ๆ กัดกินสุขภาพโดยไม่รู้ตัว การดื่มกาแฟเย็นแก้วโปรดทุกวัน หรือการทานอาหารจานด่วนหลังเลิกงาน อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ไตทำงานหนักเกินไปและเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่คิด รู้หรือไม่ว่า โรคไตเรื้อรังกำลังแพร่ระบาดในกลุ่มคนวัยทำงานมากขึ้นเรื่อย ๆ และสาเหตุส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม

 

 

โรคไต

 

 

ปัจจัยเสี่ยงก่อโรคไต

โรคไตเหมือนกับเครื่องกรองของเสียในร่างกาย เมื่อเครื่องกรองเสียหาย ของเสียก็จะสะสมในร่างกาย ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ โดยสามารถแบ่งปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ออกเป็น 5 ด้านหลัก ดังนี้

 

1.  การเลือกอาหารที่ส่งผลต่อสุขภาพไต

     หลายคนมักเข้าใจผิดว่าอาหารที่ทำลายไตคืออาหารรสเค็มจัดเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว อาหารที่มีโซเดียมสูงนั้นซ่อนตัวอยู่ในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องปรุงรสต่าง ๆ เช่น ซอสมะเขือเทศ ซอสพริก หรือแม้แต่ในอาหารแปรรูปอย่างแฮม เบคอน และอาหารกระป๋องต่าง ๆ การบริโภคอาหารเหล่านี้เป็นประจำจะส่งผลให้ไตต้องทำงานหนักขึ้นในการขับโซเดียมส่วนเกินออกจากร่างกาย

 

2.  พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ส่งผลต่อสุขภาพไต

     พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันก็มีส่วนสำคัญในการทำลายสุขภาพไต การขาดการออกกำลังกายเป็นประจำ ทำให้ร่างกายขาดความแข็งแรงและเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อการทำงานของไต นอกจากนี้ การดื่มน้ำน้อยเกินไปก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยง เนื่องจากไตต้องการน้ำในการช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย หากร่างกายขาดน้ำ ไตจะทำงานหนักขึ้นและเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วในไตได้

 

 

 

โรคไต

 

 

3.  โรคประจำตัวที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อโรคไต

     โรคบางชนิด เช่น โรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง เป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่นำไปสู่โรคไตเรื้อรัง น้ำตาลในเลือดที่สูงและความดันโลหิตที่สูงเกินไป จะทำลายหลอดเลือดฝอยในไต ทำให้ไตกรองของเสียได้ไม่ดี และในที่สุดก็จะนำไปสู่ภาวะไตวาย

 

4.  พันธุกรรมมีผลต่อโรคไต

     ปัจจัยทางพันธุกรรมก็มีส่วนสำคัญในการกำหนดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไต บางคนอาจมีกรรมพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคไตตั้งแต่กำเนิด เช่น โรคถุงน้ำในไต ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมที่ทำให้เกิดถุงน้ำขนาดเล็กในไต ทำให้ไตทำงานผิดปกติ

 

5.  สัญญาณเตือนและการป้องกันโรคไต

     หากรู้สึกบวม โดยเฉพาะบริเวณขาและเท้า มีอาการเหนื่อยล้ามากกว่าปกติ ปวดหลัง หรือปัสสาวะผิดปกติ เช่น มีเลือดปน หรือปัสสาวะเป็นฟองบ่อยขึ้น นั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าไตกำลังทำงานผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพไตโดยทันที

     การดูแลสุขภาพไตเป็นสิ่งสำคัญ เพราะไตเปรียบเสมือนเครื่องฟอกเลือด การตรวจสุขภาพเป็นประจำและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น การควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย จะช่วยให้มีไตที่แข็งแรง อย่าละเลยสัญญาณเตือนจากร่างกาย เพราะการตรวจพบโรคไตในระยะเริ่มต้นจะช่วยให้สามารถรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

 

 

โรคไต

 

 

 

ผลกระทบหลังจากการเกิดโรคไต

     โรคไต เป็นภัยเงียบที่ค่อย ๆ ทำลายสุขภาพของคุณ หากปล่อยทิ้งไว้ อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงได้มากมาย โรคไตแบ่งออกเป็น 2 ชนิดหลัก ได้แก่

 

1.  ไตวายเฉียบพลัน

     โรคไตวายเฉียบพลันอาจเกิดจากการติดเชื้อ การแพ้ยาหรือภาวะขาดน้ำรุนแรง หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ไตอาจกลับมาทำงานได้ตามปกติ แต่หากปล่อยทิ้งไว้ อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ความดันโลหิตสูง ภาวะหัวใจวาย ภาวะเลือดเป็นกรด และอาจนำไปสู่ไตวายเรื้อรังได้

 

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วย “ไตวายเฉียบพลัน”

1)  ภาวะแทรกซ้อนไม่รุนแรง

     ภาวะแทรกซ้อนไม่รุนแรง เช่น ภาวะฟอตเฟสในเลือดสูง ภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ ภาวะแมกนีเซียมในเลือดสูงหรือภาวะซีดเนื่องจากขาดฮอร์โมนอีริโทรพอยเอทิน ซึ่งส่งผลให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงได้ไม่ดีเท่าที่ควร

 

2)  ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

เนื่องจากไตไม่สามารถขับน้ำได้ ทำให้เกิดน้ำคั่งในกระแสเลือด ซึ่งส่งผลให้ความดันโลหิตสูงและอาจเกิดภาวะหัวใจวายตามมา

 

  • บางครั้งอาจมีภาวะเลือดเป็นกรดซึ่งส่งผลให้หัวใจเต้นผิดจังหวะหรือหยุดเต้นได้เช่นกัน
  • อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนทางสมองซึ่งทำให้เกิดอาการชัก หมดสติ ภาวะติดเชื้อง่ายและรุนแรงเนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันต่ำ หรือไตถูกทำลายถาวรจากการรักษาล่าช้าและอาจกลายเป็นไตวายเรื้อรังในที่สุด

 

2.  ไตวายเรื้อรัง

     โรคไตวายเรื้อรังเกิดจากไตถูกทำลายอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ซึ่งมักพบในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคไตอักเสบเรื้อรัง ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยในผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ได้แก่ ภาวะโลหิตจาง กระดูกพรุน คัน และภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาท

 

 

 

โรคไต

 

 

 

แนวทางป้องกันการเกิดโรคไต ที่ทำได้ทุกวัย

แพทย์เฉพาะทางโรคไตได้ให้คำแนะนำซึ่งทุกคนสามารถทำได้ ดังต่อไปนี้

 

  • การตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
  • การรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เพียงพอ
  • การออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละประมาณ 30-40 นาที
  • การดื่มน้ำให้เพียงพอ ประมาณ 2-3 ลิตรต่อวัน
  • การงดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารเหล่านี้เป็นอันตรายต่อสุขภาพของไต
  • การไม่กลั้นปัสสาวะ การกลั้นปัสสาวะบ่อย ๆ อาจนำไปสู่การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ
  • การหลีกเลี่ยงยาที่เป็นอันตรายต่อไต รวมถึงอาหารเสริมและยาสมุนไพรที่ไม่ได้มาตรฐาน

 

 

วิธีการรักษาโรคไต มีกี่วิธี แต่ละวิธีทำยังไงบ้าง

โรคไตสามารถรักษาได้หลายวิธี โดยแบ่งออกเป็น 2 แนวทางหลัก

 

การรักษาเพื่อชะลอการเสื่อมของไต

1)  ควบคุมโรคประจำตัว

  • การควบคุมอาหาร รับประทานโปรตีนในปริมาณที่เหมาะสมและพลังงานเพียงพอ
  • การรักษาด้วยยา ใช้ยาลดการดูดซึมฟอสเฟต ยาขับปัสสาวะ ยารักษาภาวะโลหิตจาง ยาลดความดันโลหิต ยาลดไขมันในเลือด และยาปรับสมดุลกรด-ด่าง
  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ลดน้ำหนัก งดสูบบุหรี่ ออกกำลังกาย และหลีกเลี่ยงยาที่ส่งผลเสียต่อไต

 

 

 

โรคไต ปลูกถ่ายไต

 

อ้างอิงรูปภาพ : จากสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย (พงศธร พศเสนี, การบำบัดทดแทนไต) 

 

 

2)  การรักษาด้วยวิธีบำบัดทดแทนไต (Renal Replacement Therapy)

  • การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis) นำเลือดออกจากร่างกายผ่านเครื่องไตเทียมเพื่อขจัดของเสียและน้ำส่วนเกิน แล้วนำเลือดที่ฟอกแล้วกลับเข้าสู่ร่างกาย
  • การล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis) ใส่น้ำยาล้างไตเข้าไปในช่องท้องเพื่อขจัดของเสีย โดยใช้เยื่อบุช่องท้องเป็นตัวกรอง หลังจากนั้นเปลี่ยนน้ำยาล้างไตเป็นถุงใหม่
  • การปลูกถ่ายไต (Kidney Transplantation) รับการผ่าตัดเปลี่ยนไตจากผู้บริจาค ผู้รับไตต้องรับประทานยากดภูมิต้านทานอย่างสม่ำเสมอ

 

 

โรคไต

 

 

การฟอกไตแบบ Conventional Hemodialysis และ Hemodiafiltration

1.  Conventional Hemodialysis

Conventional Hemodialysis เป็นการฟอกเลือดที่นำเลือดออกทางเส้นเลือดที่แขนหรือคอ ผ่านเข้าเครื่องไตเทียมเพื่อขจัดของเสียและน้ำส่วนเกิน จากนั้นนำเลือดที่ฟอกแล้วกลับเข้าสู่ร่างกาย

 

  • ข้อดี มีประสิทธิภาพในการขจัดของเสีย
  • ข้อจำกัด ไม่สามารถนำของเสียออกจากร่างกายได้ทั้งหมด ทำให้เกิดการตกค้าง ซึ่งอาจกระตุ้นให้เม็ดสีทำให้ผิวดำคล้ำขึ้นเรื่อย ๆ และยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายได้

 

2.  Hemodiafiltration

Hemodiafiltration เป็นการฟอกเลือดแบบพัฒนาที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า Conventional Hemodialysis โดยสามารถขจัดของเสียในโมเลกุลที่ใหญ่ขึ้นได้ดีขึ้น

 

ข้อดีของการฟอกไตแบบ Hemodiafiltration

  • สีผิวดำคล้ำน้อยกว่า เนื่องจากการขจัดของเสียมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ช่วยให้นอนหลับดีขึ้นและมีความอยากอาหารมากขึ้น
  • ลดปัญหาภาวะซีดหรือโลหิตจาง
  • ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
  • ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ

 

 

 

โรคไต

 

 

สุขภาพต้องรักษา และใส่ใจ ป้องกันไม่ให้เกิดโรคไตดีที่สุด

     แพทย์ยังแนะนำให้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม เนื่องจากยังมีส่วนสำคัญในการป้องกันโรคไต นอกจากนี้การหลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ส่งผลกระทบต่อไตโดยไม่จำเป็นก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ได้

 

 


หากเรารู้จักใส่ใจและป้องกันตั้งแต่วันนี้ ก็จะช่วยให้ไตของเราทำงานได้ดีและมีสุขภาพที่แข็งแรงไปอีกยาวนาน

 

 

 

แหล่งอ้างอิง

พงศธร คชเสนี. (ม.ป.ป). การบำบัดทดแทนไตในปัจจุบัน. สืบค้นเมื่อ 2 ตุลาคม 2567, 

จาก https://bit.ly/3ZOBpUy