ผศ.นพ. ปรัชญา ศรีวานิชภูมิ
ประสาทวิทยา
โรคพาร์กินสัน VS โรคการคั่งของน้ำในโพรงสมองชนิดความดันปกติ
นัดพบแพทย์คลิก
ผศ.นพ.ปรัชญา ศรีวานิชภูมิ
ประสาทวิทยา
ปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2564 นั้นประชากรผู้มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไปในประเทศไทยมีจำนวนประมาณ 9 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 13 ของประชากรทั้งหมดในประเทศ และยังมีแนวโน้มที่ตัวเลขประชากรกลุ่มดังกล่าวจะขยายขนาดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โรคพาร์กินสันและโรคการคั่งของน้ำในโพรงสมองชนิดความดันปกติจัดเป็นความผิดปกติทางระบบประสาทที่พบได้ในผู้สูงอายุ
โรคยิ่งชุกตามอายุที่เพิ่มขึ้น และทั้งสองโรคนี้ต่างก็มีสิ่งที่เหมือนและแตกต่างกัน ทว่า.. จุดไหนล่ะที่แตกต่าง ร่วมรู้โรคและหาแนวทางรักษาอาการของโรคดังกล่าว เพื่อให้ผู้ป่วยและผู้ดูแลได้สำรวจอาการเบื้องต้นและเข้าพบแพทย์เพื่อรักษาอาการแต่เนิ่น
โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) เป็นโรคจากความเสื่อมของระบบประสาท โดยเกิดขึ้นกับเซลล์ประสาทที่ผลิตสารสื่อประสาทโดปามีน (Dopamine) ที่อยู่บริเวณก้านสมองส่วนบน (Midbrain) ส่งผลให้ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันมักแสดงอาการเคลื่อนไหวผิดปกติเป็นอาการหลัก ซึ่งต่างกับผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ (Alzheimer’s disease) เนื่องจากผู้ป่วยมักมีอาการหลงลืมเป็นหลัก ปัจจุบันยังไม่พบปัจจัยหลักปัจจัยเดี่ยวที่ทำให้เกิดโรคพาร์กินสัน อย่างไรก็ตาม
จากการศึกษาพบว่าหากมีประวัติ
หากพบอาการเหล่านี้ก็มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคพาร์กินสันได้ ซีึ่งโรคนั้นพบได้ประมาณร้อยละ 1 ในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป และจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 4 ในผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 80 ปีขึ้นไป
จะประกอบไปด้วย 4 อาการหลักๆ ได้แก่
โรคพาร์กินสันเกิดขึ้นได้ทั้งก่อนที่ผู้ป่วยจะมีอาการผิดปกติทางการเคลื่อนไหว หรือ ในขณะที่ผู้ป่วยมีอาการผิดปกติทางการเคลื่อนไหวเกิดขึ้นแล้วก็ได้ ซึ่งแบ่งได้เป็น 5 กลุ่มอาการใหญ่ ได้แก่
เนื่องจากโรคพาร์กินสันเป็นโรคของความเสื่อมของระบบประสาท ปัจจุบันยังไม่มีวิธีการป้องกันและการรักษาให้หายขาด การรักษาที่มีในปัจจุบันจึงมุ่งเน้นไปที่การช่วยให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนไหวที่คล่องมากขึ้น โดยรักษาได้ใน 3 วิธี ได้แก่
ยารักษาอาการโรคพาร์กินสันทุกชนิดมีผลควบคุมอาการกล้ามเนื้อฝืดเกร็งและเคลื่อนไหวช้าได้ดี แต่ผลควบคุมอาการสั่นและการทรงตัวที่ไม่มั่นคงนั้นไม่แน่นอน ยารักษาโรคพาร์กินสันที่มีในประเทศไทย ได้แก่
เมื่อได้รับการรักษาด้วยยาไปเป็นเวลา 3-5 ปีนั้น ร้อยละ 30-50 ของผู้ป่วยเกิดภาวะแทรกซ้อนทางการเคลื่อนไหว ซึ่งชนิดที่พบได้บ่อย เช่น อาการยุกยิก (Dyskinesia) ในช่วงที่ยากำลังออกฤทธิ์หรือยาหมดฤทธิ์เร็วขึ้นกว่าเดิม (Wearing-off) เป็นต้น
ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยยาแล้วไม่สามารถควบคุมอาการของโรคได้หรือได้รับจากผลข้างเคียงของยา การผ่าตัดเพื่อฝังเครื่องกระตุ้นในสมองส่วนลึก (Deep brain stimulation) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ให้ผลที่ดีในการควบคุมอาการของผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม การผ่าตัดนั้นไม่ใช่วิธีการรักษาโรคให้หายขาด และไม่สามารถทำในผู้ป่วยได้ทุกราย
การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ควรทำในผู้ป่วยโรคพาร์กินสันทุกรายและทุกระยะ ซึ่งเริ่มทำได้ตั้งแต่การยืดและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ การออกกำลังกายที่เป็นจังหวะ เช่น การเต้นรำในจังหวะแทงโก้ หรือ การรำไทเก๊กหรือจี้กง เมื่อทำเป็นประจำย่อมช่วยเพิ่มความสามารถในเรื่องการเดินและการทรงตัวแก่ผู้ป่วยได้
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างของอาการและอาการแสดงระหว่างโรคพาร์กินสัน และโรคการคั่งของน้ำในโพรงสมองชนิดความดันปกติ
ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันสามารถรับประทานอาหารได้เป็นปกติ แม้ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดเกี่ยวกับการรับประทานอาหารเสริม ยาฉีดหรือการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด (Stem cell) ใด ๆ ที่สามารถรักษา ชะลอ หรือ ป้องกันการเกิดโรคพาร์กินสันได้
โรค NPH หรือ โรคภาวะน้ำคั่งในโพรงสมอง โรคที่ผู้สูงอายุทุกคนมีโอกาสเป็น อ่านเพิ่มเติม คลิก >> https://www.ram-hosp.co.th/news_detail/1651
ประสาทวิทยา