กินยาคุมกำเนิดให้ถูกวิธี เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์

February 05 / 2025

 

 

ทานยาคุมกำเนิดให้ถูกวิธี.. เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์

 

 

ยาคุมกำเนิดยาคุมกำเนิด

พญ. ศรีสุภา เลาห์ภากรณ์

สูติ-นรีเวช

 

     ยาเม็ดคุมกำเนิด (Oral contraceptive pill) คือยาที่มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเพศหญิง ทั้งยังเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจน ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ โดยยับยั้งการตกไข่เปลี่ยนแปลง เยื่อบุโพรงมดลูกให้มีสภาพไม่เหมาะต่อการฝังตัวของตัวอ่อน และทำให้มูกที่ปากมดลูกมีความเป็นด่างเหนียวข้นขึ้น ทำให้อสุจิไม่สามารถเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ได้ รวมทั้งส่งผลต่อการเคลื่อนไหวท่อนำไข่ ทำให้ไข่ไม่สามารถเดินทางไปที่มดลูก

 

หมายเหตุ : ตัวเลขที่แสดงเป็นจำนวนการตั้งครรภ์ต่อปี (first year of use) ของสตรีที่คุมกำเนิดด้วยวิธีดังกล่าวจำนวน 100 คน, https://www.fphandbook.org/appendix-contraceptive-effectiveness

 

 

สามารถแบ่งยาคุมกำเนิดได้เป็น 2 กลุ่ม

  1. ยาคุมชนิดฮอร์โมนรวม (combined pill) คือ มีส่วนประกอบของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจน แบ่งออกเป็น
    • เอสโตรเจนกับโปรเจสโตเจนเท่ากันทุกเม็ด มีแบบ 21 เม็ด กับ 28 เม็ด (7 เม็ดหลังไม่มีฮอร์โมน) มี 3 แบบ
      • ชนิดฮอร์โมนสูง high dose (เอสโตรเจน≥50  ไมโครกรัม)
      • ชนิดฮอร์โมนต่ำ low dose (เอสโตรเจน<50 ไมโครกรัม)
      • ชนิดฮอร์โมนต่ำมาก ultra low dose (เอสโตรเจน≤20 ไมโครกรัม)
    • แบบที่ฮอร์โมนทั้งสองชนิดไม่เท่ากัน
      • ชนิด 2 ระยะ จะประกอบด้วยเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจนในปริมาณต่างกัน 2 แบบ เพื่อเลียนแบบการหลั่งฮอร์โมนของร่างกาย ในช่วงต้นรอบเดือนจะมีเอสโตรเจนสูงกว่าโปรเจสโตเจน ส่วนช่วงปลายรอบเดือนจะมีโปรเจสโตเจนมากกว่าเอสโตรเจน ซึ่งจะมี 2 สี คือ 7 เม็ดแรกเป็นสีหนึ่ง และ 15 เม็ดหลังเป็นอีกสีหนึ่ง เช่น ยาคุมกำเนิดยี่ห้อออยเลซ (Oilezz)
      • ชนิด 3 ระยะ จะประกอบด้วยเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจนในปริมาณที่ต่างกัน 3 แบบ เพื่อเลียนแบบการหลั่งฮอร์โมนของร่างกายให้มากที่สุด โดยจะมีเอสโตรเจนต่ำอยู่ 2 ช่วง คือ ช่วงต้นและช่วงปลายรอบเดือน ส่วนกลางเดือนจะมีปริมาณเอสโตรเจนมากที่สุด ส่วนโปรเจสโตเจนจะมีปริมาณต่ำในช่วงต้นรอบเดือนและสูงสุดในช่วงปลายรอบเดือน จะมี 3 สี แบ่งเป็น 6 เม็ด 5 เม็ด และ 10 เม็ด รวมเป็น 21 เม็ด (อาจจะมีแป้งเพิ่มอีก 7 เม็ด รวมเป็น 28 เม็ดก็ได้) เช่น ยาคุมกำเนิดยี่ห้อไตรควีล่าร์ (Triquilar), ไตรนอร์ดิออล (Trinordiol) และไตรไซเลส (Tricilest)
  2. ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว (progesterone pill) คือ ยาคุมที่มีฮอร์โมนโปรเจสโตเจนอย่างเดียว  มี 2 แบบ
    • ชนิดฮอร์โมนโปรเจสโตเจนขนาดต่ำเท่ากันทุกเม็ด (minipill)
    • ชนิดฮอร์โมนโปรเจสโตเจนขนาดสูง คือยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน postcoital pill หรือ emergency pill

 

 

ยาคุมกำเนิด

 

 

ข้อดียาคุมกำเนิด

     ข้อดีของยาคุมกำเนิดคือประสิทธิภาพสูงถ้าทานถูกต้อง หาซื้อง่าย และเมื่อหยุดใช้สามารถกลับมามีบุตรได้ นอกเหนือจากการคุมกำเนิดแล้วยาคุมยังมีประโยชน์ด้านอื่นๆ เช่น ลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งรังไข่ และมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ทำให้อาการสิวดีขึ้น ปวดประจำเดือนลดลง เพิ่มมวลกระดูก ลดการสร้างฮอร์โมนเพศชายจากโรคถุงนำในรังไข่ (polycystic ovary syndrome) ลดเลือดออกจากมดลูก ประจำเดือนมาไม่มาก และตรงเวลา ลดอาการก่อนประจำเดือน (premenstrual Dysphonic Disorder, PMDD)

 

 


ยาเม็ดคุมกำเนิดเป็นยาที่ต้องรับประทานเป็นประจำ สม่ำเสมอ การลืมทานยา หรือทานไม่ถูกวิธี อาจจะทำให้เกิดผลเสีย เช่น ทำให้มีเลือดออกกะปริดกะปรอย ถ้าลืมบ่อยๆ อาจเกิดการตั้งครรภ์

 

กรณีลืมทานยาคุมกำเนิดให้ทานดังนี้

  • ลืมทานยาหนึ่งเม็ดให้ทานทันทีที่นึกได้ และทานเม็ดต่อไปตามปกติ
  • ลืมทาน 2 เม็ดติดต่อกันในช่วง 2 สัปดาห์แรกให้ทานยา 2 เม็ดติดต่อกัน 2 วัน แล้วทานต่อตามปกติจนหมดแผงให้ใช้ถุงยางอนามัยร่วมด้วย
  • ลืมทานยา 2 เม็ดติดกันในช่วงสัปดาห์ที่ 3 หรือลืมมากกว่า 2 เม็ดในช่วงใดก็ตามให้หยุดยาแผงนั้นจนกว่าจะมีประจำเดือนจึงเริ่มแผงใหม่ ให้ใช้ถุงยางอนามัยหรืองดการร่วมเพศ

 

ข้อห้ามการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด

  • ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์ เมื่อทานยาไปต้องหยุดทานทันที ให้รีบมาพบแพทย์เพื่อตรวจครรภ์ ไม่ต้องกังวลว่าจะมีผลต่อลูกในครรภ์ เพราะโอกาสเกิดผลข้างเคียงมีน้อยมาก
  • สตรีหลังคลอดไม่ถึง 21 วัน อาจเกิดภาวะดังต่อไปนี้ ได้แก่ มีประวัติการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ นอนติดเตียงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ มีภาวะอ้วน(BMI>30/m2) ภาวะตกเลือดหลังคลอด หลังผ่าตัดคลอดบุตร ภาวะครรภ์เป็นพิษ ภาวะติดเชื้อหลังคลอด (puerperal sepsis) และสูบบุหรี่
  • ห้ามใช้ในสตรีที่ยังไม่เคยมีประจำเดือน และสตรีสูงอายุที่หมดประจำเดือนแล้ว
  • ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีและสูบบุหรี่ตั้งแต่ 15 มวนต่อวันและต่อปี วัยนี้อาจมีปัญหาในการทานยาคุมกำเนิดได้ เพราะมีโอกาสเกิดโรคระบบหลอดเลือดได้ง่าย เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หลอดเลือดอุดตันฯลฯ
  • ผู้ที่มีหรือเคยมีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ เช่น ลิ่มเลือดอุดตันที่ขา, ปอด หรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย รวมถึงผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการแข็งตัวตัวของเลือด หรือมีประวัติสงสัยความผิดปกติของระบบการแข็งตัวของเลือด เพราะการทานยาคุมกำเนิดจะทำให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้น จึงมีโอกาสที่เกิดเส้นเลือดอุดตันมากเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
  • ผู้ที่มีหรือเคยมีอาการหัวใจวายหรือภาวะที่สมองขาดเลือดอย่างเฉียบพลัน รวมถึงผู้ที่มีหรือเคยมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดหัวใจวาย หรือภาวะที่สมองขาดเลือดอย่างเฉียบพลัน
  • ผู้ที่เป็นโรคหัวใจบางชนิด เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคลิ้นหัวใจผิดปกติ
  • ผู้ที่เป็นหรือเคยเป็นไมเกรนชนิดรุนแรงหรือไมเกรนบางชนิดร่วมกับความผิดปกติเฉพาะที่ของระบบประสาท เช่น การมองเห็นผิดปกติ การพูดผิดปกติ มีอาการอ่อนเพลีย หรือชาบริเวณใดบริเวณหนึ่งของร่างกาย
  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานที่มีความผิดปกติของหลอดเลือด หรือการทำงานของไต
  • ผู้ที่มีเลือดออกทางช่องคลอดโดยไม่ทราบสาเหตุ
  • ผู้ที่เป็นมะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์ เช่น มะเร็งโพรงมดลูก มะเร็งรังไข่
  • ผู้ที่กำลังป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านม หรือเคยเป็นมะเร็งเต้านม
  • ผู้ที่เป็นหรือเคยเป็นโรคตับ ซึ่งอาจมีอาการตัวเหลืองหรือมีอาการคันทั่วร่างกาย และตับยังคงทำงานผิดปกติ
  • ผู้ที่เป็นโรคไต หรือมีภาวะการทำงานของไตบกพร่องอย่างรุนแรง หรือภาวะไตวายเฉียบพลัน
  • ผู้ที่เป็นหรือเคยเป็นเนื้องอกในตับชนิดไม่ร้ายแรงหรือชนิดร้ายแรง
  • โรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง (SLE)
  • ผู้ที่ผ่านการผ่าตัดใหญ่ และห้ามขยับตัวนาน
  • ผู้ที่แพ้ต่อตัวยาสำคัญหรือส่วนประกอบอื่นในยาเม็ดคุมกำเนิด ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการคันเป็นผื่น หรือบวมได้

 

 


หากมีความผิดปกติในข้อหนึ่งข้อใดที่กล่าวมาข้างต้นซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในขณะทานยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ให้หยุดยาทันทีและไปพบแพทย์


 

การเลือกใช้การคุมกำเนิดด้วยยาคุม

     การเลือกวิธีคุมกำเนิดด้วยยาคุม ควรพิจารณาจากหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น การใช้ยาอย่างถูกต้อง การรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะส่งผลต่อประสิทธิภาพการคุมกำเนิดได้ถึง 99% แต่ถ้าใช้ไม่ถูกต้องประสิทธิภาพการคุมกำเนิดจะลดลงเช่นกัน รวมทั้งส่วนประกอบในยาคุมกำเนิด คือปริมาณ ชนิดฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสโตเจน ที่มีความหลากหลาย การพิจารณาการใช้ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมในแต่ละบุคคล ความปลอดภัยและผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้นก่อนเริ่มการทานยาคุมควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง

 

 

การยาใช้ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมในแต่ละบุคคล ความปลอดภัย และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้นก่อนเริ่มการทานยาคุมควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง

 

 

นัดพบแพทย์คลิก

พญ. ศรีสุภา เลาห์ภากรณ์

สูติ-นรีเวช

 

 

 

แก้ไขล่าสุด 24/07/63