Messenger

วิ่ง ออกกำลังกายแล้ว “ วูบ ” ระวังภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน

January 24 / 2025

 

วิ่ง ออกกำลังกายแล้ว “ วูบ ” ระวังภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน

 

หัวใจวายเฉียบพลัน

  

 

     ภาวะหัวใจวายเฉียบพลันหรือหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Sudden Cardiac Arrest) คือภาวะที่หัวใจหยุดเต้นอย่างปัจจุบันทันด่วน ทำให้ไม่มีเลือดออกจากหัวใจไปเลี้ยงสมองและร่างกาย ซึ่งส่งผลให้ผู้ป่วยหมดสติ ล้มลง หยุดหายใจหรือหายใจเฮือก บางครั้งอาจมีอาการเกร็งกระตุกเนื่องจากสมองขาดอออกซิเจน ทั้งนี้ผู้เห็นเหตุการณ์อาจเข้าใจผิดว่าเป็นโรคลมชักได้ ซึ่งจัดว่าเป็นภาวะวิกฤตที่ต้องรีบกู้ชีวิตผู้ป่วย

 

 

หัวใจวายเฉียบพลัน

 

 

 

การประเมินสถานการณ์ก่อนการกู้ชีพ

     ขณะเดินออกกำลังกาย เห็นคนนอนอยู่ที่พื้นจะรู้ได้อย่างไรว่านอนหลับเฉย ๆ หรือหัวใจวายเฉียบพลัน ต้องการการกู้ชีวิตให้ประเมินดูสภาพแวดล้อมว่าคนที่หลับตามหลับปกติจะมาหลับบริเวณนี้ ในลักษณะนี้หรือไม่ ถ้าไม่แน่ใจ ให้รีบประเมินลักษณะสำคัญสามอย่างของหัวใจวายเฉียบพลัน คือ

 

  • หมดสติเรียกไม่รู้สึกตัว 
  • หัวใจหยุดเต้นคลำชีพจรไม่ได้และ
  • หยุดหายใจหน้าอกไม่ขยับขึ้นลง ไม่มีลมเคลื่อนเข้าออกผ่านจมูก

 

 


นอกจากนี้อาจมีลักษณะอื่น ๆ เช่น ใบหน้าหรือริมฝีปากเขี้ยวคล้ำจากการขาดออกซิเจน


 

 

 

หัวใจวายเฉียบพลัน

 

 

ใครเสี่ยงต่อการเกิดหัวใจวายเฉียบพลันบ้าง

     ภาวะหัวใจวายเฉียบพลันเกิดกับใครก็ได้ทั้งคนที่มีโรคหัวใจอยู่เดิมหรือคนที่ไม่มีโรคหัวใจ ข้อมูลพบว่า 2 ใน 3 ของคนที่เกิดหัวใจวายเฉียบพลันจะเป็นคนที่แข็งแรงอยู่ก่อน เราจึงได้ยินข่าวเสมอถึงการเสียชีวิตเฉียบพลันในนักกีฬาหรือคนหนุ่มวัยฉกรรจ์ และที่สำคัญคือการเกิดหัวใจวายเฉียบพลันจะเกิดขึ้นเวลาใดก็ได้ ที่ไหนก็ได้ คือไม่เลือกเวลา ไม่เลือกสถานที่ อาจเกิดในห้องน้ำ ในห้องนอน ตลาด รถไฟฟ้า สวนสาธารณะ ข้อมูลพบว่า 2 ใน 3 เกิดในบ้าน ซึ่งเป็นสถานที่ที่การกู้ชีวิตทำได้ยาก จึงมีโอกาสรอดชีวิตต่ำมาก

 

หัวใจวายเฉียบพลันในนักกีฬาพบได้บ่อยหรือไม่

     อุบัติการณ์การเกิดหัวใจวายเฉียบพลันในนักกีฬาแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ โดยทั่วไปจะพบประมาณ 0.1-0.8 รายต่อนักกีฬา 100,000 รายต่อปี ซึ่งยังถือว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับการเกิดหัวใจวายเฉียบพลันในผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ แต่เมื่อเกิดแล้วจะได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจึงมีผลกระทบต่อสังคมอย่างมาก เนื่องจากคนเชื่อว่านักกีฬาควรเป็นคนที่แข็งแรงที่สุดก็ยังเกิดหัวใจวายเฉียบพลันได้...แล้วคนธรรมดาที่ไม่ใช่นักกีฬาจะเป็นอย่างไร...ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วเราจะออกกำลังกายไปทำไม...

 

 

 

หัวใจวายเฉียบพลัน

 

 

กีฬาแต่ละประเภทมีความเสี่ยงเท่ากันหรือไม่

     กีฬาที่เกิดหัวใจวายเฉียบพลันได้บ่อยมักเป็นกีฬาที่ทำให้หัวใจต้องทำงานหนัก หัวใจจะบีบตัวแรงและเร็วเพื่อไปเลี้ยงร่างกายให้เพียงพอในขณะเล่นกีฬา เช่น บาสเก็ตบอล ฟุตบอล วิ่งมาราธอน นอกจากนี้ กีฬาที่มีโอกาสกระทบกระทั่งกันมาก ๆ เช่น รักบี้ อเมริกันฟุตบอล บางครั้งอาจมีการกระแทกหน้าอกอย่างแรงทำให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะขั้นรุนแรงและเสียชีวิตได้ (Commotio cordis) การวิ่งมาราธอนก็มักเกิดเหตุการณ์ในระยะ 5 กิโลเมตรสุดท้ายก่อนถึงเส้นชัย เนื่องจากนักวิ่งมีการอ่อนล้าแล้วและมีการเร่งเพื่อให้เข้าถึงเส้นชัย

 

 


การขาดน้ำและเกลือแร่จากการเสียเหงื่ออาจเป็นปัจจัยเสริมให้เกิด กีฬาเบา ๆ เช่น กอล์ฟ วิ่งเหยาะ ๆ ปั่นจักรยานจะพบน้อยกว่า นอกจากนี้คือจะพบในนักกีฬาชายมากกว่านักกีฬาหญิง


 

 

 

หัวใจวายเฉียบพลันหัวใจวายเฉียบพลันหัวใจวายเฉียบพลันหัวใจวายเฉียบพลัน

 

 

 

สาเหตุของหัวใจวายเฉียบพลันในนักกีฬา

     ถ้าอายุมากกว่า 35 ปีส่วนใหญ่เกิดจากโรคหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ทำให้มีเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ ถ้าอายุน้อยกว่า 35 ปี ผู้ป่วยมักจะมีโรคหัวใจที่ผิดปกติแต่กำเนิดหลบซ่อนอยู่ เช่นกล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติชนิดต่าง ๆ เช่น hypertrophic cardiomyopathy, arrhythmogenic right ventricular cardiomyopathy โรคหลอดเลือดหัวใจผิดปกติ โรคระบบไฟฟ้าหัวใจผิดปกติแต่กำเนิด เช่น long QT syndrome, WPW syndrome, Brugada syndrome เป็นต้น

 

วิธีป้องกันหัวใจวายเฉียบพลันในนักวิ่ง

มาตรการที่กล่าวต่อไปนี้สามารถใช้ได้กับการเล่นหรือแข่งขันทุกประเภท โดยมีมาตราการหลัก 3 ข้อด้วยกัน 

 

1.  ตรวจคัดกรอง

     เราควรตรวจคัดกรองให้แก่ผู้เป็นนักกีฬาหรือผู้จะเข้าร่วมการแข่งขัน (Preparticipation screening) ทั้งนี้ ผู้ที่จะเข้าเป็นนักกีฬาสมัครเล่นหรืออาชีพ ควรได้รับการตรวจหาพื้นฐานโรคหัวใจและความเสี่ยงต่อการเกิดหัวใจวายเฉียบพลัน โดยเฉพาะผู้มีปัจจัยเสี่ยง เช่น อายุมากกว่า 35 ปี สูบบุหรี่ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง มีประวัติโรคหัวใจ ญาติหรือคนในครอบครัวเสียชีวิตเฉียบพลันจากโรคหัวใจ

 

Exercise Stress Test

     แพทย์จะเริ่มซักประวัติ ตรวจร่างกาย ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ หรืออาจตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจที่เรียกว่า Echo cardiogram กรณีที่นักกีฬามีอายุมากกว่า 35 ปีหรือสงสัยว่ามีภาวะหลอดเลือดหัวใจผิดปกติ แพทย์อาจส่งตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยการออกกำลัง ที่รู้จักกันดีว่า Exercise Stress Test 

 

2.  มีมาตรการรับมือภาวะฉุกเฉิน

     ผู้รับผิดชอบนักกีฬาเช่นผู้ปกครอง เจ้าของทีมหรือเจ้าของสถานที่ฝึกซ้อมหรือแข่งขันต้องจัดให้มีการปฏิบัติการกู้ชีพที่มีประสิทธิภาพซึ่งต้องมี “เครื่องกระตุกหัวใจด้วยไฟฟ้า” ที่เรียกย่อ ๆ ว่า AED รวมอยู่ด้วยให้พร้อมอยู่เสมอ ซึ่งสามารถปฏิบัติการกู้ชีพได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุการณ์ ขั้นตอนนี้พบว่ามีความสำคัญเพราะสามารถลดอัตราการตายลงได้มาก

 

3.  รู้และเข้าใจวิธีป้องกันการเกิดหัวใจวายเฉียบพลัน

     สุดท้ายคือ ต้องให้ความรู้ความเข้าใจถึงแนวทางการป้องกันการเกิดหัวใจวายเฉียบพลันแก่นักกีฬาเอง บางครั้งก่อนเกิดเหตุอาจมีอาการเตือนหรือผิดปกติเล็ก ๆ น้อย ๆ นำมาก่อน เช่นแน่นหน้าอก อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายกว่าปกติ แต่นักกีฬาอาจละเลยไม่สนใจ เนื่องจากขาดความรู้หรือกลัวอดลงแข่งขัน

 

อุปกรณ์บันทึกการเต้นของหัวใจชนิดติดตัว

     ปัจจุบันได้มีการติดตามการเต้นของหัวใจของนักวิ่งด้วยอุปกรณ์บันทึกการเต้นของหัวใจชนิดติดตัว ลักษณะเหมือนแผ่นพลาสเตอร์ปิดแผลขนาดใหญ่ซึ่งสามารถทนน้ำ-ทนเหงื่อ และบันทึกการเต้นของหัวใจขณะมีการเคลื่อนไหวได้  เมื่อวิ่งเสร็จก็นำข้อมูลมาวิเคราะห์ดูว่าตลอดการวิ่งพบหัวใจเต้นผิดจังหวะหรือหัวใจขาดเลือดหรือไม่ เพื่อจะได้วางแผนการดูแลรักษาต่อไป บางงานวิจัยติดตามการเต้นแบบ real time โดยส่งข้อมูลการเต้นของหัวใจคนไข้ผ่านระบบสัญญาณอินเตอร์เน็ต ระบบ 4G/Wi-Fi เมื่อพบความผิดปกติ ทีมแพทย์ก็จะแจ้งเตือนไปที่ตัวนักกีฬาให้ลดความเร็วลงหรือให้หยุด หรือส่งทีมแพทย์เข้าไปให้การรักษาได้ทันที

 

ข้อจำกัดทางเทคโนโลยี

     แต่ยังมีข้อจำกัดทางเทคโนโลยีอยู่บ้างสำหรับการส่งสัญญาณชีพแบบ real time ในบริเวณที่มีคนอยู่จำนวนมากทั้งนักวิ่งทั้งผู้เข้าชมและมีการใช้ช่องสัญญาญอินเตอร์เน็ตเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้การติดตามหาตัวนักวิ่งที่มีหัวใจเต้นผิดจังหวะท่ามกลางนักวิ่งจำนวนมากก็ทำได้ลำบาก คงต้องใช้เทคโนโลยีอื่น ๆ เช่น โดรนมาช่วย

 

 

หัวใจวายเฉียบพลัน

 

 

AED คืออะไร

     AED (Automated External Defibrillator) นั้นคือเครื่องกระตุกหัวใจด้วยไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ ซึ่งใช้สำหรับกู้ชีวิตผู้ป่วยที่เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันจากหัวใจห้องล่างเต้นพลิ้วหรือเต้นเร็วขึ้นรุนแรง หรือทางการแพทย์เรียกว่า Ventricular tachycardia/Ventricular fibrillation เมื่อเปิดใช้งาน เครื่องจะวิเคราะห์จังหวะการเต้นของหัวใจโดยอัตโนมัติ และแนะนำให้ผู้ใช้กดปุ่มเพื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าออกไปเพื่อกระตุกหัวใจให้กลับมาเต้นเป็นปกติ

 

 

หัวใจวายเฉียบพลัน

 

 

     กรณีที่ผู้ป่วยไม่ได้หัวใจวายเฉียบพลันจากภาวะหัวใจห้องล่างเต้นพลิ้ว แต่เกิดจากหัวใจหยุดเต้นเอง หัวใจไม่มีการบีบตัวเครื่อง ซึ่งแพทย์ไม่แนะนำให้ช็อต แต่จะแนะนำให้ปั๊มหัวใจต่อไป โดยให้เครื่องเป็นตัวให้จังหวะการปั๊มของหัวใจและวิเคราะห์การเต้นของหัวใจทุก 2 นาที

 

ข้อดีของเครื่อง AED

     เนื่องจากเครื่องได้รับการออกแบบมาให้ใช้งานง่าย บุคคลทั่วไปที่ไม่รู้จักเครื่องก็สามารถทำตามขั้นตอนที่เครื่องแนะนำได้ง่าย อย่างไรก็ตาม การฝึกฝนให้รู้จักและใช้งานได้จะทำให้สามารถกู้ชีพได้เร็วและดีกว่า การใช้เครื่อง AED ร่วมกับการปั๊มหัวใจที่มีประสิทธิภาพจะเพิ่มโอกาสรอดชีวิต 2-3 เท่า